จากวันนั้น… ถึงวันนี้ กว่าจะเป็น… "กุหลาบวิทยา"
สงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติ ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มเข้าสู่ปกติ พ่อค้าคหบดีของวัด กาลหว่าร์ ได้ร่วมกันจัดตั้งโรงเรียนขึ้นในบริเวณวัดกาลหว่าร์ โดยใช้สถานที่อาคารของวัด การใช้จ่ายต่างๆ ถ้าไม่พอก็ร่วมกันออกให้พอเพียง กิจการได้ดำเนินไปด้วยดี ณ อาคารและสถานที่นี่ได้ให้กำเนิดนักเรียนมาเป็นจำนวนมาก เพราะตั้งแต่สร้างมาประมาณอายุไม่น้อยกว่า 60 ปี มีลูกหลานเป็นจำนวนมากมาย โรงเรียนได้ดำเนินต่อมาในความควบคุมของคณะกรรมการสมาคม จนกระทั่งกระทรวงศึกษาธิการ ได้ประกาศให้โรงเรียนที่เปิดสอนโดยมิได้รับอนุญาต ไปยื่นขอจัดตั้งภายในวันที่ 26 มีนาคม 2491 นายโก เซี่ยงอัน เป็นประธาน ได้ให้ นายชัช นาคะทัต ช่วยจัดการยื่นขอต่อกระทรวงศึกษาธิการ โดยให้นายเซ่งยิ้น แซ่ก้วย เป็นเจ้าของและผู้จัดการ นายชัช นาคะทัต เป็นครูใหญ่ ยื่นขอในวันที่ 26 มีนาคม 2491 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายและวันนี้เป็นวันเกิดอันถูกต้องของโรงเรียน "เทียนจู๋เจี้ยวเหมยกุ้ยเซียะเสี้ยว" เป็นชื่อที่ยาวและค่อนข้างจะจำยากมาก เมื่อสมาคมโอนโรงเรียนนี้มอบให้แก่วัดได้เปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียน "ซินเหมยกุ้ย" และโรงเรียน "กุหลาบวิทยา" เพื่อต้องตามประสงค์ของกระทรวงศึกษาธิการ และตรงกับนามของวัดคือ Rosary Church.
28 มิถุนายน 2491 สมาคมมอบโรงเรียนให้กับบาทหลวงโอลลี่เอร์ คุณพ่อเจ้าวัดได้รับไว้และแต่งตั้งให้บาทหลวงบุญไทย สิงห์เสน่ห์ เป็นเจ้าของและเป็นผู้จัดการ ต่อมา บาทหลวงอาแมสตอยส์ รักษาการและเป็นคุณพ่อเจ้าวัด และบาทหลวงถาวร กิจสกุล เป็นผู้จัดการแทน หลังจากนั้น ได้มีความคิดที่จะขยายชั้นเรียนให้สูงขึ้น จึงขออนุญาตพระสังฆราชหลุยส์โชแรง และได้รับอนุญาต เปลี่ยนสภาพเป็นโรงเรียนมัธยมวิสามัญศึกษาสอนภาษาอังกฤษแทน ขอรับเงินอุดหนุนจากกระทรวงศึกษาธิการ ขณะที่บาทหลวงราแปง เป็นคุณพ่อเจ้าวัดได้เชิญ บราเดอร์อาเทอร์ จากคณะเซนต์คาเบรียลมาช่วยเหลืองานโรงเรียน และได้ขยายชั้นเรียนถึง ม.ศ.3 (ม.6) ขยายห้องเรียนเป็น 33 ห้อง รับนักเรียนได้ 1,310 คน
นับแต่นั้นจนถึงยุคสมัยของ บาทหลวงกิมฮั้ง ดำรงตำแหน่งคุณพ่อเจ้าวัด และมี บราเดอร์เอ๊ดวาร์ด อี.เจ. เป็นอธิการโรงเรียน ได้เริ่มออกแบบและวางแผนก่อสร้าง อาคารเรียน 4 ชั้น จนมาสำเร็จลุล่วงในสมัยของ บราเดอร์เดชน์ เกิดสว่าง อาคารเรียน 4 ชั้นหลังนี้ได้วางศิลาฤกษ์ ในวันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม 2509 โดยคุณพ่อกิมฮั้ง คุณพ่อเจ้าวัดเป็นประธานและทำพิธี ครั้นมาถึงสมัยที่ ภราดาวิจารณ์ ทรงเสี่ยงชัย ย้ายมาดำรงตำแหน่งอธิการโรงเรียน ในปี พ.ศ.2514 ท่านได้จัดตั้งสภานักเรียนขึ้น เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2516 เพื่อรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยของนักเรียน และแบ่งเบาภาระของครู
ต่อมา ได้มีนโยบายที่จะให้การบริหารโรงเรียนเป็นของบาทหลวงสังกัด อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ นับตั้งแต่ 16 กันยายน 2516 เป็นต้นไป โดยมี คุณพ่อประสาน คูรัตนสุวรรณ เป็นบาทหลวงองค์แรกที่เป็นอธิการโรงเรียนและเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดกาลหว่าร์ด้วย ซึ่งขณะนั้น คุณพ่อเสวียง ศุระศรางค์ เป็นเจ้าอาวาสและในสมัยคุณพ่อประสานนี้เอง ได้เริ่มก่อสร้างอาคารเรียน 5 ชั้นขึ้น
วันที่ 1 พฤษภาคม 2522 ถึง10 พฤษภาคม 2524 คุณพ่อธวัช พันธุม-จินดา ย้ายมาดำรงตำแหน่งแทนคุณพ่อประสานและในวันที่ 20 พฤษภาคม 2523 นี้เองได้เปิดใช้อาคารเรียน 5 ชั้น และทำพิธีเสกและเปิดอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 5 ตุลาคม 2523 โอกาสฉลองวัดกาลหว่าร์
10 พฤษภาคม 2524 ถึง 8 เมษายน 2526 บาทหลวงไชโย กิจสกุล คุณพ่อได้จัดสร้างห้อง Sound Lab บนชั้น 5 เพื่อความก้าวหน้าในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ และมีห้องสมุดเพิ่มขึ้นด้วย เพื่อให้คุณครูและนักเรียนได้ค้นคว้าสรรพวิชาต่างๆ
8 เมษายน 2526 ถึง 1 พฤษภาคม 2528 บาทหลวงสุทศ ประมวลพร้อม คุณพ่อได้จัดตั้งกองทุนสวัสดิการครูอันเป็นประโยชน์แก่คุณครูทุกคนมาจนถึงปัจจุบัน
21 มิถุนายน 2528 ถึง 30 เมษายน 2530 บาทหลวงธนันชัย กิจสมัคร คุณพ่อได้จัดหาเพลงมาร์ชกุหลาบวิทยา ซึ่งเป็นเพลงประจำโรงเรียน และให้ติดคำขวัญไว้หน้าตึก 5 ชั้นว่า "เวลาและวารีไม่คอยใคร" คุณพ่อดำรงตำแหน่ง ครูใหญที่เป็นพระสงฆ์องค์แรกแทนครูใหญชัด นาคะทัต ซึ่งเกษียณอายุแล้ว
9 มิถุนายน 2530 ถึง 1 กันยายน 2533 บาทหลวงวิทยา คู่วิรัตน์ เป็นครูใหญ่องค์ต่อมา คุณพ่อได้แบ่งหน้าที่ผู้ช่วยครูใหญ่ออกเป็น 4 ฝ่าย คือ ฝ่ายวิชาการ ฝ่ายปกครอง ฝ่ายธุรการ และ ฝ่ายบริการ คุณพ่อจัดให้มีการอบรมสัมมนาอย่างหลากหลาย เพื่อเพิ่มพูนความรู้แก่คุณครูทุกท่าน
3 กันยายน 2533 ถึง 30 เมษายน 2538 บาทหลวงศุภศิลป์ สุขสุศิลป์คุณพ่อดำรงตำแหน่งครูใหญ่นานถึง 5 ปี ได้จัดสร้างห้องคอมพิวเตอร์บนตึกชั้น 5 เพื่อฝึกให้นักเรียนเรียนรู้ก้าวทันความเจริญของโลก
23 พฤษภาคม 2538 บาทหลวงวุฒิเลิศ แห่ล้อม ในสมัยของคุณพ่อได้ ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงห้องพักครูและเปลี่ยนโต๊ะทำงานใหม่หมด ติดเครื่องปรับอากาศ เพื่อให้ใช้ประโยชน์ได้อเนกประสงค์ สร้างหลังคาบริเวณที่ว่างบนตึกชั้น 3 ให้ใช้ประโยชน์แทนการปล่อยไว้ให้ว่างเปล่า มีห้องกิจกรรม ห้องคำสอน ห้องโสตทัศนูปกรณ์ ทาสีห้องเรียนตึก 4 ชั้นและ 5 ชั้น จนใหม่เอี่ยมสวยงาม ทำให้บรรยากาศการเรียนการสอนรื่นรมย์ไม่อับทึบ
พ.ศ. 2543 - 2547 สมัยบาทหลวงศุภกิจ เลิศจิตรเลขา เป็นเจ้าอาวาสและครูใหญ่ และมีบาทหลวงสุชาติ อุดมสิทธิพัฒนา เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส ได้ดำเนินการปรับปรุงเขื่อนริมน้ำเป็นท่าเทียบเรือ (ท่าปิด) ปรับพื้นสนามบริเวณลานหน้าวัดและจัดทำลานอเนกประสงค์ ปรับปรุงโรงอาหารใต้อาคารเรียนริมน้ำ เป็นผู้ร่วมส่งเสริมและผลักดันให้ก่อตั้งสมาคมศิษย์เก่าและครูโรงเรียนกุหลาบวิทยา อีกทั้งยังดำเนินการต่อเติมหลังคาบริเวณหน้าอาคารเรียน 5 ชั้น มีการปรับรั้วที่กั้นบริเวณโรงเรียนกุหลาบวัฒนาและกุหลาบวิทยาให้เป็นรั้วโปร่ง ในด้านวิชาการ โรงเรียนเข้าร่วมเป็นโรงเรียนเครือข่ายนำร่อง การใช้หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2544 ริเริ่มให้คนในชุมชนเข้ามาสอนภาษาจีนให้กับนักเรียน และให้ชาว ต่างชาติที่เป็นเจ้าของภาษาอังกฤษเข้ามาสอนภาษาให้กับนักเรียน
พ.ศ. 2547 บาทหลวงสุรสิทธิ์ ชุ่มศรีพันธุ์ เป็นผู้รับใบอนุญาตและเจ้าอาวาส มีบาทหลวงสุชาติ อุดมสิทธิพัฒนา เป็นครูใหญ่ โรงเรียนได้เข้ารับการประเมินสถานศึกษาขั้นพื้นฐานภายนอกรอบแรก ปรับปรุงห้องสมุดและสร้างห้องคอมพิวเตอร์ขึ้นใหมj่ ได้รับนโยบายจากอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ ในการรวมกิจการโรงเรียนกุหลาบวัฒนาและกุหลาบวิทยาให้เป็นสหศึกษา ได้สนับสนุนส่งเสริมให้ครูได้ศึกษาต่อในระดับปริญญาโท ก่อตั้งวงโยธวาทิตและวงดนตรีไทยประจำโรงเรียน
พ.ศ. 2548 บาทหลวงธนากร เลาหบุตร เป็นผู้อำนวยการ ปรับปรุงห้องปฏิบัติการชั้นล่าง เริ่มดำเนินการในการรวมกิจการโรงเรียนกุหลาบวัฒนาเข้ากับกุหลาบวิทยา โดยที่คณะอุร์สุลินได้ส่งมอบโรงเรียนกุหลาบวัฒนาคืนให้กับอัครสังฆ-มณฑล กรุงเทพฯ ปรับสภาพต่างๆ ให้เหมาะสมกับการปฏิบัติงานมากยิ่งขึ้น
พ.ศ. 2549 ถึงปัจจุบัน บาทหลวงอนุศักดิ์ กิจบำรุง เป็นผู้อำนวยการ เริ่มกิจการโรงเรียนกุหลาบวิทยาเป็นแบบสหศึกษา มีการปรับภูมิทัศน์บริเวณโดยรอบโรงเรียน เปิดรับสมัครนักเรียนก่อนปฐมวัย โรงเรียนได้ผ่านการประเมินคุณภาพ สถานศึกษาขั้นพื้นฐานภายนอกรอบสอง จัดทำหลักสูตร เตรียมสถานที่ เตรียมบุคลากร สำหรับการเปิดการศึกษาขั้นปฐมวัยและมัธยมศึกษาตอนปลาย ส่งเสริมสนับสนุนในการพัฒนาบุคลากร โดยร่วมกับคณะครุศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และฝ่ายการศึกษาอัครสังฆมณฑล กรุงเทพฯ จัดอบรม พัฒนา มาตรฐานวิชาชีพครู ปรับปรุงห้องวิทยาศาสตร์ทั้ง 2 ห้อง และห้องคอมพิวเตอร์ จัดทำห้องซ้อมดนตรีสากล